มีขั้นตอนดังนี้
- เปิด Terminal ขึ้นมา (สามารถค้นหาได้จาก Search your computer and online sources) ดังภาพ
- เมื่อเปิด Terminal ขึ้นมาแล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get update ลงไปและกด Enter ดังภาพ
- เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานในคำสั่งของคำสั่ง sudo apt-get upgrade แล้วให้พิมพ์คำสั่ง sudo
apt-get upgrad ลงไปและกด Enter หลังจากนั้นจะมีข้อความขึ้นมาแสดงว่า Do you want to continue? [Y/n] ให้พิมพ์ y ลงไปแล้วกด enter ดังภาพ - หลังจากเสร็จสิ้นคำสั่ง sudo apt-get upgrade แล้วให้พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install python-software-properties ลงไปแล้วกด Enter
- ต่อมาให้พิมพ์คำสั่ง sudo add-apt-repository ppa:ondrej/php5-oldstable ลงไปและกด Enter หลังจากนั้นจะมีข้อความคิดมาว่า Press [Enter] to continue or ctrl-c to cancel adding it ให้กด Enter ดังภาพ
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get update ลงไปอีกครั้ง
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-cache policy php5
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install apache2 หลังจากนั้นจะมีข้อความแสดงขึ้นมาว่า Do you want to continue? [Y/n] ให้พิมพ์ y ลงไปแล้วกด enter
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install php5 ลงไปและจะมีข้อความแสดงขึ้นมาเช่นกัน Do you want to continue? [Y/n] ให้พิมพ์ y ลงไปแล้วกด enter
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install mysql-server และกด Enter หลังจากนั้นจะมีข้อความขึ้นมาว่า Do you want to continue? [Y/n] ให้พิมพ์ y ลงไปแล้วกด enter และหลังจากกด Enter แล้วจะแสดงหน้าจอดังภาพเพื่อใส่รหัสผ่าน
- เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนที่ 10 ให้พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install php5-mysql ลงไปและกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง php -v และกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง apache -v และกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install unzip และกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install curl และกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install openssl และกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install php5-mcrypt และกด Enter หลังจากนั้นจะมีข้อความขึ้นมาว่า Do you want to continue? [Y/n] ให้พิมพ์ y ลงไปแล้วกด enter
- พิมพ์คำสั่ง curl -sS https://getcomposer.org/installer | php และกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง sudo mv composer.phar /usr/local/bin/composer และกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install phpmyadmin และกด Enter หลังจากนั้นจะมีข้อความขึ้นมาว่า Do you want to continue? [Y/n] ให้พิมพ์ y ลงไปแล้วกด enter แล้วจะแสดงหน้าจอดังภาพ
เมื่อมาถึงหน้านี้แล้วให้ดูที่แถบสีแดงหน้า apache2 และให้กด space bar 1 ครั้ง ถ้าหากกดแล้วจะแสดงดังภาพ (แถบสีแดงจะมี * ข้างใน)หลังจากที่แถบสีแดงมี * อยู่ข้างในแล้ว ให้กด Ok เพื่อไปต่อ และจะแสดงหน้าจอดังภาพเมื่อหน้าจอแสดงดังภาพให้กด Yes เพื่อกำหนด Passwordหลังจากใส่รหัสผ่านเสร็จแล้วให้ทดสอบว่า phpmyadmin สามารถใช้งานได้จริงโดยเข้าไปที่ localhost/phpmyadmin หากการติดตั้ง phpmyadmin สำเร็จจะแสดงหน้าจอดังภาพ - หลังจากทดสอบแล้ว ให้ไป download ไฟล์ laravel4 มาเพื่อติงตั้ง (สามารถ download ได้ตามลิ้งค์ https://laravel.com/docs/4.2) เมื่อเข้าถึงหน้า download แล้วให้เลื่อนลงมาที่หัวข้อ Via Download แล้วกดที่ 4.2 version ดังรูป
- เมื่อได้ไฟล์ laravel-4.2.11.zip มาแล้วให้ย้ายไฟล์ไปที่ var/www โดยใช้ Terminal ในการย้าย ก่อนที่จะพิมพ์คำสั่งลงไป ให้ไปดูที่อยู่ของไฟล์นั้นก่อน โดยสามารถดูได้จาก Properties ของไฟล์laravel และเมื่อรู้ที่อยู่ของไฟล์laravel-4.2.11.zip แล้วให้พิมพ์คำสั่ง cd /location ลงไป ตัวอย่างเช่น cd /home/be/downloads (ไฟล์ของผู้เขียนอยู่ใน downloads) และกด Enter เมื่อกด Enter แล้วให้พิมพ์คำสั่ง sudo mv ชื่อไฟล์ที่จะย้าย /location
ที่อยู่ใหม่ของไฟล์ เช่น sudo mv laravel-4.2.11.zip /var/www แล้วกด Enter ดังภาพ
- หลังจากกด Enter เพื่อย้ายไฟล์ laravel-4.2.11.zip แล้ว ให้ตรวจดูที่ location เก่าของไฟล์laravel-4.2.11.zip ว่าถูกย้ายจริงหรือไม่ ดังรูป
- เมื่อไฟล์ laravel ถูกย้ายไปยัง location ที่ต้องการแล้ว (ในที่นี้คือ var/www) ให้ทำการ unzip ไฟล์ โดยใช้คำสั่งดังนี้ 1. cd .. กด Enter 2. cd /var/www กด Enter 3.sudo unzip ชื่อไฟล์.zip เช่น sudo unzip laravel-4.2.11.zip และกด Enter เมื่อทำการกด Enter แล้ว หากไฟล์ยังไม่ใช่ชื่อ laravel ให้ทำการเปลี่ยนชื่อเป็น laravel ก่อน โดยใช้คำสั่ง sudo mv ชื่อไฟล์เก่า/ laravel/ กด Enterเช่น sudo mv laravel-4.2.11 laravel/
- หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนที่ 24 แล้ว ให้ทำการพิมพ์คำสั่ง cd laravel/ ลงไปและกด Enter
- พิมพ์คำสั่ง sudo composer install
- หลังจากติดตั้ง composer เสร็จแล้ว หากมี error ขึ้นมาดังภาพ ให้พิมพ์คำสั่ง sudo apt-get install php-mcrypt และกด Enter พิมพ์ sudo php5enmod mcrypt กด Enter
และทำการ sudo composer install อีกครั้ง - หาก sudo composer install เสร็จสิ้นจะแสดงหน้าจอดังภาพ
- พิมพ์ cd /etc
- พิมพ์ cd apache2/
- พิมพ์ cd sites-available
- พิมพ์ sudo nano 000-default.conf เมื่อกด Enter จะแสดงหน้าจอดังภาพ
ให้ดูตรง DocumentRoot /var/www/html เมื่อเจอทำการลบ DocumentRoot /var/www/html ออก และพิมพ์ DocumentRoot /var/www/laravel/public
<Directory /var/www/laravel/public>
Options Indexes FollowSymLinks MultiViews
AllowOverride All
Order allow,deny
allow from all
</Directory> ลงไปแทนที่ ดังภาพ
เมื่อพิมพ์เสร็จ กด save โดยใช้ Ctrl+x เมื่อกดแล้วจะแสดงหน้าจอดังภาพให้พิมพ์ y และกด Enter
- พิมพ์ cd ..
- พิมพ์ sudo nano apache2.conf กด Enter จะแสดงหน้าจอดังภาพ
หาคำว่า Allow Override None เมื่อพบให้ทำการเปลี่ยนจาก None เป็น All ทั้งหมด *ยกเว้นตรงตำแหน่ง <Directory /srv/> ไม่ต้องเปลี่ยน ดังรูป
เมื่อทำการเปลี่ยนครบแล้ว ให้เลื่อนมาบรรทัดท้ายสุดของหน้า แล้วทำการพิมพ์ SeverName 127.0.0.1 ลงไป ดังภาพหลังจากนั้น กด save โดยใช้ Ctrl+x พิมพ์ y และกด Enter จะได้ผลลัพธ์ดังภาพ
- ทำการทดสอบว่าสามารถลง laravel4 ได้จริงหรือไม่ โดยพิมพ์ localhost ที่ url ของ browser หากลงสำเร็จจะได้ผลลัพธ์ดังภาพ
============== Good Bye and Enjoy Full :) ===============
No comments:
Post a Comment